TradingKey – ขณะที่ตลาดยังคงขับเคลื่อนด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงาน กระแสเงียบ ๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นในเบื้องหลังคือ อุตสาหกรรมสุขภาพ ซึ่งยังไม่เป็นที่จับตามากนัก แต่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มีคุณสมบัติป้องกันความเสี่ยง (Defensive) และยังได้รับแรงหนุนจากคลื่นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับนักลงทุนระยะยาว อุตสาหกรรมนี้ถือเป็นการผสมผสานที่ “กลมกล่อม” ระหว่าง ความปลอดภัยและโอกาส ซึ่งมักถูกมองข้ามจนสายเกินไป
บทวิเคราะห์นี้จะพาคุณไปสำรวจว่า “ทำไม” ถึงควรลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพ, “อะไร” คือโอกาสที่ควรโฟกัส, และ ต้องทำอย่างไรจึงจะเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจทั้งมือใหม่และนักลงทุนมือเก๋าสามารถใช้แนวทางนี้เป็นพื้นฐานในการเปิดประตูสู่โลกของหุ้นสุขภาพได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
ในฐานะนักลงทุนหน้าใหม่ หุ้นกลุ่มการแพทย์อาจดูน่ากลัวในตอนแรก อย่าปล่อยให้คำศัพท์ฟังดูซับซ้อนแบบวิชาการ หรือข่าวรายวันเกี่ยวกับการทดลองยาและการอนุมัติจาก FDA ทำให้คุณถอยหนี เพราะท้ายที่สุดแล้ว บริษัทเหล่านี้ก็คือกิจการที่ทำเงินโดยมีภารกิจหลักคือ ทำให้มนุษย์มีสุขภาพดีและมีชีวิตอยู่ต่อไป — บางทีอาจเป็นหนึ่งในแนวคิดธุรกิจที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่มีมา
โดยทั่วไป บริษัทเหล่านี้แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น ผู้พัฒนายา (หรือที่เรียกกันว่าไบโอเทคโนโลยีหรือเวชภัณฑ์), โรงพยาบาลและคลินิก (ระบบบริการสุขภาพ), บริษัทประกัน, ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์, และซัพพลายเออร์ที่จัดหาทุกอย่างตั้งแต่ถุงมือผ่าตัดไปจนถึงอุปกรณ์วินิจฉัยขั้นสูง บริษัทเหล่านี้มีบทบาทต่างกันในระบบภาพรวม และมีศักยภาพการเติบโตที่ต่างกันไปตามความเสี่ยง
ลองดูตัวอย่างจากบริษัทยักษ์เก่าอย่าง Johnson & Johnson หรือ Merck บริษัทที่มีประสบการณ์เหล่านี้มั่นคงเพราะพวกเขาขายยาที่ผลิตเสร็จแล้ว มีความต้องการสูง และจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่บริษัทเล็ก ๆ ในกลุ่มไบโอเทคอาจพุ่งขึ้นแรงในวันใดวันหนึ่งจากความคืบหน้าในการอนุมัติยา แต่ก็อาจร่วงลงอย่างแรงจากผลทดลองที่แย่ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเริ่มต้นจากบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือเลือกลงทุนในกองทุน ETF กลุ่มสุขภาพ เช่น Health Care Select Sector SPDR Fund (XLV) ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงไปยังบริษัทหลายสิบแห่ง — ดังนั้นแม้บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะเจ๊ง พอร์ตทั้งหมดของคุณก็จะไม่พังไปพร้อมกัน
หุ้นกลุ่มสุขภาพมีความแตกต่าง เพราะเป็นกลุ่มที่ตั้งรับได้ดี ผู้คนยังคงต้องใช้ยา พบแพทย์ และมีประกันสุขภาพ ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร กล่าวอีกแบบคือ หุ้นกลุ่มนี้สามารถทนต่อภาวะถดถอยได้ดีกว่าหุ้นอื่นที่ขึ้นอยู่กับวัฏจักรเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม หุ้นสุขภาพก็ไม่ได้กันกระเทือนจากความเสี่ยงเสมอไป การเปลี่ยนแปลงนโยบาย สิทธิบัตรที่หมดอายุ หรือผลวิจัยที่ไม่น่าพอใจสามารถสั่นคลอนราคาหุ้นได้อย่างรวดเร็ว
ก่อนจะลงทุน อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ดี เรียนรู้ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ดูว่าเขาสร้างรายได้จากอะไร มีสินค้าที่อยู่ในแผนการพัฒนาหรือไม่ และรับมือกับกฎระเบียบที่เข้มงวดอย่างไร การศึกษาข้อมูลสักเล็กน้อยและมองการณ์ไกลในระยะยาว จะทำให้การลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพกลายเป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างความมั่งคั่งของคุณอย่างมั่นคง — และในขณะเดียวกันก็เป็นการลงทุนในภาคส่วนที่ช่วยให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นอย่างแท้จริง
กลุ่มหุ้นสุขภาพในดัชนี S&P 500 ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ราบรื่นนักในช่วงที่ผ่านมา ปี 2022 ปิดตัวลงด้วยการลดลงราว 3.6%, ปี 2023 เพิ่มขึ้นเพียง 0.3%, ปี 2024 ขยับขึ้นแค่ 0.9%, และลดลงมากกว่า 4% ภายในเดือนพฤษภาคม 2025 อย่างเห็นได้ชัด มูลค่าประเมิน (Valuation) ได้อ่อนตัวลง และนักลงทุนจำนวนมากต่างสงสัยว่าควรนั่งดูต่อไปหรือควรเข้าซื้อในช่วงที่ราคายังซบเซาแบบนี้
แต่ภายใต้รอยร้าวเหล่านี้กลับแฝงไปด้วยโอกาส Fidelity ระบุว่ามูลค่าหุ้นกลุ่มสุขภาพลดลงจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว ในขณะที่เทคโนโลยีการแพทย์และการรักษาเฉพาะทางยังคงขยายขอบเขตนวัตกรรมต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มสุขภาพได้ไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำแบบเงียบ ๆ รายงานจาก Federated Hermes ชี้ว่า กลุ่มนี้เพิ่มขึ้นแล้ว 2.6% ในปี 2025 ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีลดลงมากกว่า 11% ในช่วงเวลาเดียวกัน ช้าแต่มั่นคง ภาคส่วนนี้กำลังเปลี่ยนจาก "ตามหลัง" มาเป็น "ผู้นำ"
ในมุมมองพื้นฐาน ปัจจัยขับเคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มสุขภาพในปัจจุบันคือ นวัตกรรม และ ยารุ่นใหม่ระดับ Blockbusterเช่น ยาลดน้ำหนักตัวใหม่ของ Eli Lilly และยาในกลุ่มควบคุมน้ำหนักของ Novo Nordisk กำลังเปลี่ยนความเข้าใจของนักลงทุนที่มีต่อคำว่า "การเติบโต" ในบริษัทยารายใหญ่
รายงานล่าสุดของ Deloitte ชี้ว่า ผู้นำในอุตสาหกรรมสุขภาพทั่วโลกเกือบ 70% วาง ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และเน้น ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เป็นหัวใจของแผนธุรกิจปี 2025 ซึ่งบ่งชี้ว่าอุตสาหกรรมกำลังมุ่งหน้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญ
แรงส่งเชิงนโยบายก็มีบทบาทเช่นกัน ในสหรัฐฯ คำตัดสินล่าสุดของศาลสูงยังคงรักษาความคุ้มครองด้านการป้องกันภายใต้กฎหมาย Affordable Care Act ไว้ได้ ซึ่งถือเป็นชัยชนะของทั้งผู้ให้บริการและบริษัทประกันสุขภาพ เช่น Gilead และ Exact Sciences ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน HIV และการคัดกรองมะเร็ง การเคลื่อนไหวแบบนี้ช่วยลดความไม่แน่นอนและยืนยันว่าการกำหนดนโยบายสาธารณสุขคือปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในระยะยาว
ผู้นำสายป้องกันอย่าง Merck, AbbVie และ CVS ถูกผลักดันให้จ่ายปันผลในระดับสูง ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักลงทุนที่เน้นรายได้ โดยกลุ่มหุ้นที่จ่ายปันผลสูงมีผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นตัวเลขสองหลักในปีนี้ และกองทุน Health Care Select Sector SPDR Fund (XLV) ก็เพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 6% อีกทั้งด้วยค่า Price-Forward Multiple เพียง 17 เท่า หุ้นในกลุ่มนี้ยังมีมูลค่าที่น่าสนใจกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ ใน S&P 500 ที่มีค่าเฉลี่ยราว 21 เท่า สำหรับผู้ที่มองหาปัจจัยพื้นฐานมั่นคงและรายได้สม่ำเสมอ — นี่คือการเดิมพันที่ดีทีเดียว
นักลงทุนที่มีประสบการณ์เข้าใจดีว่า อุตสาหกรรมสุขภาพไม่ใช่แบบ "หนึ่งเดียวใช้ได้กับทุกคน" — แต่มันคือระบบ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด คุณควรคิดถึงการกระจายความเสี่ยง
วิธีที่ดีคือผสมผสานระหว่างบริษัทใหญ่มั่นคงกับบริษัทที่กำลังเติบโต สำหรับบางคน อาจเลือกถือหุ้นบลูชิพที่จ่ายปันผลสูง เช่น Merck, UnitedHealth Group หรือ Johnson & Johnson พร้อมกับหุ้นขนาดกลางที่มีศักยภาพอย่าง Gilead หรือ McKesson และถ้าอยากเพิ่มความเสี่ยงเพื่อโอกาสที่สูงขึ้น อาจใส่หุ้นไบโอเทคเฉพาะทางเล็ก ๆ เช่น Alnylam (RNA therapies) หรือ argenx (antibody-based therapies)
หากคุณเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ กองทุนรวมอุตสาหกรรมอย่าง XLV อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ช่วยให้คุณไม่ต้องรับความเสี่ยงจากหุ้นรายตัวโดยตรง จำไว้อย่างหนึ่ง: การกระจายความเสี่ยงไม่ได้ทำให้คุณปลอดภัย 100% แต่มันจะช่วยให้คุณนอนหลับได้สบายขึ้นเมื่อเกิดความผันผวนในตลาด
ติดตามมูลค่าและปัจจัยพื้นฐานของหุ้นที่คุณสนใจ หุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้าไม่เกิน 18 เท่า มีเงินสดในมือ และมี pipeline ที่น่าจับตามอง มักเป็นจุดผสมที่ดีระหว่าง “คุณค่า” และ “การเติบโต”
และสุดท้าย อย่าลืมติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบใหม่และผลการทดลองทางคลินิก เพราะข่าวดีสามารถส่งให้หุ้นพุ่งขึ้นทันที ขณะเดียวกันข่าวร้ายก็สามารถทำให้ราคาหุ้นลดลงครึ่งหนึ่งในวันเดียว การตามข่าวรายได้ ผลการทดสอบจาก FDA และการออกกฎหมายที่สำคัญ จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมก่อนที่ตลาดจะกระแทกคุณแบบไม่ทันตั้งตัว
ไม่ว่าภาคอุตสาหกรรมจะระมัดระวังแค่ไหน การลงทุนในหุ้นสุขภาพก็ไม่เคยปราศจากความเสี่ยง ความพยายามอย่างดีที่สุดก็ยังไม่อาจป้องกันได้จากความเสี่ยง เช่น การควบคุมราคายา หรือการเปลี่ยนนโยบายความคุ้มครองอย่างกะทันหัน ซึ่งสามารถบีบอัตรากำไรได้ทันที
นอกจากนี้ ผลการทดลองทางคลินิกก็เป็นตัวแปรสำคัญ หุ้นไบโอเทคมักมีความผันผวนสูงจากผลของการทดลองเพียงครั้งเดียว
ปัจจัยมหภาคก็มีผลเช่นกัน อัตราดอกเบี้ยสูงและเงินเฟ้อสามารถกดดันมูลค่าของอุตสาหกรรมที่มักถูกมองว่า “ต้านภาวะถดถอย” ได้เช่นกัน
แต่ภาพรวมยังคงเป็นบวก: ประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น, การเติบโตอย่างต่อเนื่องของโรคเรื้อรัง, และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพ ล้วนบ่งชี้ว่าการเติบโตในระยะยาวยังยั่งยืน
หุ้นกลุ่มสุขภาพกำลังเข้าสู่จุดที่น่าสนใจ: เป็นเสาหลักสายป้องกันที่ราคาถูกลง, ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม, และได้รับแรงหนุนจากนโยบายใหม่ ๆ — ทั้งหมดนี้กำลังก่อตัวเป็น “จุดเข้า” ที่อาจให้ผลตอบแทนดีสำหรับนักลงทุนที่มีความอดทน
คุณสามารถเริ่มด้วย ETF แบบกว้างอย่าง XLV, สร้างพอร์ตที่ยึดฐานบนหุ้นบลูชิพที่จ่ายปันผลมั่นคง เช่น Johnson & Johnson หรือ UnitedHealth, หรือเพิ่มหุ้นเติบโตแรงอย่าง Gilead หรือ McKesson หากคุณต้องการสร้างสมดุลในพอร์ต
และถ้าคุณอยากลองเสี่ยง ก็สามารถเลือกหุ้นไบโอเทคเล็ก ๆ ที่มีศักยภาพได้เล็กน้อย — แต่ต้องจัดสัดส่วนอย่างระมัดระวัง ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนแบบนี้ การลงทุนในกลุ่มสุขภาพอาจช่วยให้คุณสร้างผลตอบแทนระยะยาวอย่างมั่นคง ในขณะเดียวกันก็ได้ลงทุนในภาคส่วนที่ “ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น” อย่างแท้จริง